โลก
ชื่อไทย : โลก
ชื่ออังกฤษ : The Earth
สัญลักษณ์
สัญลักษณ์ของโลกประกอบด้วยกากบาทที่ล้อมด้วยวงกลม
โดยเส้นตั้งและเส้นนอนของกากบาทจะแทนเส้นเมอริเดียนและเส้นศูนย์สูตรตามลำดับ
สัญลักษณ์อีกแบบของโลกจะวางกากบาทไว้เหนือวงกลมแทน
สัญลักษณ์ของโลก
! ! ส ม บั ติ ข อ ง ด า ว ! !
โลกเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่สาม
โดยโลกเป็นดาวเคราะห์หินขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ
และเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
ดาวเคราะห์โลกถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 4,570 ล้าน (4.57 × 109) ปีก่อนและไม่นานนัก
ดวงจันทร์ซึ่งเป็นดาวบริวารเพียงดวงเดียวของโลกก็ถือกำเนิดตามมา
ขนาดของโลก
โลก มีเส้นรอบวงตามแนวนอน 40,075 กิโลเมตร และเส้นรอบวงตามแนวตั้ง 40,008 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นทรงวงรี โดย ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของดาวเคราะห์ทั้งหมดในระบบสุริยะ
แต่เล็กกว่าดวงอาทิตย์ถึง 100 เท่า
สีของโลก
โลกมีสีน้ำเงิน
เนื่องจากมีชั้นบรรยากาศที่หนาทึบและมีน้ำจำนวนมากจากแหล่งน้ำต่างๆ ประมาณ 3 ใน 4 ของพื้นผิวโลก
บริวาลของโลก
ดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก โคจรรอบโลกทุกๆ 27 วัน
8 ชั่งโมง และขณะเดียวกันก็หมุนรอบตัวเองได้ครบหนึ่งรอบพอดีด้วย
ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์ด้านเดียว ไม่ว่าจะมองจากส่วนไหนของโลก ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง
มนุษย์เพิ่งจะได้เห็นภาพ เมื่อสามารถส่งยานอวกาศไปในอวกาศได้ บนพื้นผิวดวงจันทร์ร้อนมากในบริเวณที่ถูกแสงอาทิตย์
และเย็นจัดในวริเวณเงามืด ที่พื้นผิวของดวงจันทร์มีปล่องหลุมมากมาย เป็นหมื่นๆหลุม
ตั้งแต่หลุมเล็กไปจนถึงหลุมใหญ่มีภูเขาไฟและทะเลทรายแห้งแล้ง
ดวงจันทร์เป็นดวงดาวใหญ่ที่สุด และสว่างที่สุดในท้องฟ้ากลางคืน ดวงจันทร์ส่องแสง
แต่แสงที่ส่องนั้นไม่ได้เปล่งออกมาจากดวงจันทร์เอง
ดวงจันทร์เมื่อได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ก็จะสะท้อนแสงนั้นออกมา ดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมากที่สุด แต่ก็ยังเป็นระยะทางไกลมากคือ
ระยะสิบเท่าของเส้นรอบโลกยังสั้นกว่าระยะทางจากโลกไปดวงจันทร์
เส้นผ่านศูนย์กลางของโลก
โลกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 12,756 กิโลเมตร
(รัศมี 6,378 กิโลเมตร)
ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลกเราประมาณ 150
ล้านกิโลเมตร
ลักษณะพื้นผิวของโลก
บนพื้นผิวโลกประกอบไปด้วยพื้นดินและพื้นน้ำ
โดยมีพื้นน้ำเป็นอาณาเขตส่วนใหญ่ของพื้นผิวโลก ได้แก่ มหาสมุทร ทะเลสาบ คลอง บึง
แม่น้ำ ลำธารต่างๆ เฉพาะมหาสมุทรของโลกกินพื้นที่ประมาณสามในสี่ของพื้นผิวโลก
มหาสมุทรของโลกมี 4 มหาสมุทร ได้แก่ มหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรแอตแลนติก
มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรอาร์กติก (ขั้วโลกเหนือ)
ส่วนที่เป็นแผ่นดินแบ่งออกเป็น 7 ทวีป คือ เอเชีย แอฟริกา
อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป ออสเตรเลีย และแอนตาร์กติกา (ขั้วโลกใต้)
ส่วนที่เป็นแผ่นดินนี้จะมีลักษณะภูมิประเทศแตกต่างกันไป เช่น ภูเขา ที่ราบสูง
ที่ราบในหุบเขา ที่ราบลุ่มน้ำ ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ เป็นต้น
ส่วนประกอบต่างๆของโลก
เปลือกโลก (crust) เป็นชั้นนอกสุดของโลกที่มีความหนาประมาณ 60-70
กิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็นชั้นที่บางที่สุดเมื่อเปรียบกับชั้นอื่นๆ
เสมือนเปลือกไข่ไก่หรือเปลือกหัวหอม เปลือกโลกประกอบไปด้วยแผ่นดินและแผ่นน้ำ
ซึ่งเปลือกโลกส่วนที่บางที่สุดคือส่วนที่อยู่ใต้มหาสมุทร
ส่วนเปลือกโลกที่หนาที่สุดคือเปลือกโลกส่วนที่รองรับทวีปที่มีเทือกเขาที่สูงที่สุดอยู่ด้วย
แมนเทิล (mantle) คือชั้นที่อยู่ถัดจากเปลือกโลกลงไป
มีความหนาประมาณ 3,000 กิโลเมตร บางส่วนของหินอยู่ในสถานะหลอมเหลวเรียกว่าหินหนืด
(Magma) ทำให้ชั้นแมนเทิลนี้มีความร้อนสูงมาก
เนื่องจากหินหนืดมีอุณหภูมิประมาณ 800 – 4300°C ซึ่งประกอบด้วยหินอัคนีเป็นส่วนใหญ่
แก่นโลกความหนาแน่นของดาวโลกโดยเฉลี่ยคือ
5,515 กก./ลบ.ม. ทำให้มันเป็นดาวเคราะห์ที่หนาแน่นที่สุดในระบบสุริยะ
แต่ถ้าวัดเฉพาะความหนาแน่นเฉลี่ยของพื้นผิวโลกแล้ววัดได้เพียงแค่ 3,000 กก./ลบ.ม. เท่านั้น ซึ่งทำให้เกิดข้อสรุปว่า ต้องมีวัตถุอื่นๆ
ที่หนาแน่นกว่าอยู่ในแก่นโลกแน่นอน ระหว่างการเกิดขึ้นของโลก ประมาณ 4.5 พันล้านปีมาแล้ว
การหลอมละลายอาจทำให้เกิดสสารที่มีความหนาแน่นมากกว่าไหลเข้าไปในแกนกลางของ โลก
ในขณะที่สสารที่มีความหนาแน่นน้อยกว่าคลุมเปลือกโลกอยู่ ซึ่งทำให้แก่นโลก (core)
มีองค์ประกอบเป็นธาตุเหล็กถึง 80% รวมถึงนิกเกิลและธาตุที่มีน้ำหนักที่เบากว่าอื่นๆ
แต่ในขณะที่สสารที่มีความหนาแน่นสูงอื่นๆ เช่นตะกั่วและยูเรเนียม
มีอยู่น้อยเกินกว่าที่จะผสานรวมเข้ากับธาตุที่เบากว่าได้
และทำให้สสารเหล่านั้นคงที่อยู่บนเปลือกโลก แก่นโลกแบ่งได้ออกเป็น 2 ชั้นได้แก่ แก่นโลกชั้นนอกและแก่นโลกชั้นใน
ลักษณะทางกายภาพของโลก
โลกเกิดจากกลุ่มก๊าซร้อนที่รวมตัวกันและกลายเป็นดาวเคราะห์ที่เป็นบริวารของดวงอาทิตย์
ในช่วงแรกๆ โลกเป็นของแข็งก้อนกลมอัดกันแน่นและร้อนจัด ต่อมาจึงเย็นตัวลง
เมื่อโลกเย็นตัวลงใหม่ๆ นั้น ไม่ได้มีสภาพทั่วไปดังเช่นในปัจจุบันและไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เลย
โลกใช้เวลาปรับสภาพอยู่ประมาณ 3,000 ล้านปี
จึงเริ่มมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เกิดขึ้น และใช้เวลาวิวัฒนาการอีกประมาณ 1,000 ล้านปี จึงได้มีสภาพแวดล้อมทั่วไปคล้ายคลึงกับที่ปรากฏในปัจจุบัน
ในสมัยโบราณ
มนุษย์เคยเชื่อกันว่า โลกมีสัณฐานแบนคล้ายจานข้าว
นักเดินเรือในสมัยนั้นจึงไม่กล้าเดินทางไปในมหาสมุทรไกลๆ
เพราะกลัวว่าจะตกขอบโลกออกไป ต่อมามีการเดินเรือรอบโลกโดย เฟอร์ดินานด์ มาเจลแลน (Ferdinand
Magellan) นักเดินเรือชาวโปรตุเกสซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าโลกมีสัณฐานกลม
และในปัจจุบันมีการส่งดาวเทียมหรือยานอวกาศออกไปนอกโลกในระยะไกลและถ่ายภาพโลกไว้
จากภาพถ่ายเหล่านั้นก็ปรากฏชัดว่าโลกมีสัณฐานกลม
สภาพบรรยากาศ
สภาพอากาศของโลก คือ
การถูกห่อหุ้มด้วยชั้นบรรยากาศ ซึ่งมีทั้งหมด 5 ชั้น ได้แก่
1.โทรโพสเฟียร์
เริ่มตั้งแต่ 0-10 กิโลเมตรจากผิวโลก บรรยกาศมีไอน้ำ เมฆ
หมอกซึ่งมีความหนาแน่นมาก และมีการแปรปรวนของอากาศอยู่ตลอดเวลา
2.สตราโตสเฟียร์
เริ่มตั้งแต่ 10-35 กิโลเมตรจากผิวโลก
บรรยากาศชั้นนี้แถบจะไม่เปลื่ยนแปลงจากโทรโพสเฟียร์ยกเว้นมีผงฟุ่นเพิ่มมา เล็กน้อย
3.เมโสสเฟียร์
เริ่มตั้งแต่35-80 กิโลเมตร จากผิวโลก
บรรยากาศมีก๊าซโอโซนอยู่มากซึ่งจะช่วยสกัดแสงอัลตร้า ไวโอเรต (UV) จาก ดวงอาทิตย์ไม่ให้มาถึงพื้นโลกมากเกินไป
4.ไอโอโนสเฟียร์
เริ่มตั้งแต่ 80-600 กิโลเมตร จากผิวโลก บรรยากาศมีออกซิเจน
จางมากไม่เหมาะกับมนุษย์
5.เอกโซสเฟียร์
เริ่มตั้งแต่ 600กิโลเมตรขึ้นไปจากผิวโลก บรรยากาศมีออกซิเจนจางมากๆ
และมีก๊าซฮีเลียมและไฮโดรเจนอยู่เป็นส่วนมาก โดยมีชั้นติดต่อกับอวกาศ
บรรยากาศโลกประกอบด้วย
- ก๊าซไนโตรเจน 77%
- ออกซิเจน 21%
- ก๊าซอาร์กอนรวมกับก๊าซอื่นๆ ฝุ่นละอองและไอน้ำ 2%
- ก๊าซออกซิเจนบางส่วนฟอร์มตัวเป็น โอโซน (Ozone: O3) ก่อตัวเป็นชั้นบางๆห่อหุ้มโลก(Ozone layer) สามารถดูดซับรังสีอัลตร้าไวโอเล็ต (Ultra violet ray : UV) ที่แผ่ออกมาจากดวงอาทิตย์ไว้ได้ สิ่งมีชีวิตบนโลกจึงปลอดภัยจากรังสีนี้
- ก๊าซไนโตรเจน 77%
- ออกซิเจน 21%
- ก๊าซอาร์กอนรวมกับก๊าซอื่นๆ ฝุ่นละอองและไอน้ำ 2%
- ก๊าซออกซิเจนบางส่วนฟอร์มตัวเป็น โอโซน (Ozone: O3) ก่อตัวเป็นชั้นบางๆห่อหุ้มโลก(Ozone layer) สามารถดูดซับรังสีอัลตร้าไวโอเล็ต (Ultra violet ray : UV) ที่แผ่ออกมาจากดวงอาทิตย์ไว้ได้ สิ่งมีชีวิตบนโลกจึงปลอดภัยจากรังสีนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น